ปลูกแตงกวา ระบบน้ำหยด ที่ไร่ “ศุภโชค หินเบี้ย” จ.เพชรบูรณ์
29Jul,16
หากมีใครถามว่าปลูกอะไรแล้วรวยคงตอบไม่ได้ เพราะขึ้นกับอยู่กับการดูแลเอาใจใส่และทิศทางการตลาดของพืชผักชนิดนั้นๆ เพราะแม้แต่ แตงกวา พืชผักธรรมดาๆ ที่ใช้ระยะเวลาปลูกและดูแลในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 28 วัน ก็สามรถเป็นพืชที่นำเงินเข้ากระเป๋าเกษตรกรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับเกษตรกรคนเก่งอย่าง คุณศุภโชค หินเบี้ย ที่นำระบบน้ำหยดเข้เมาช่วยเพิ่มผลผลิต
โดยทั่วไปแตงกวาจัดเป็นกลุ่มพืชที่ใช้น้ำน้อยแต่หากวางเทปน้ําหยดในแปลงปลูก ก็จะช่วยประหยัดน้ำและยังช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดีอีกด้วย ทั้งนี้ หลังจากปลูกแล้ววางแผนการใช้น้ำเพียงช่วงเช้าและช่วงเย็น แต่ผสมปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพทุกครั้ง เปิดระบบน้ำหยดเพียง 5 นาที เท่านี้ก็จะมีผลผลิตมากเท่าที่ต้องการ แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นคือ 1 ไร่ จะใช้เงินลงทุน 30,000 บาท แต่เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่ามาก เพราะได้เม็ดเงินกลับมาถึงไร่ละ 70,000 บาท และหากเราดูแลดีๆ จะได้กำไรมาดถึง 40,000 บาท ต่อระยะเวลาสั้นๆ เพียง 60 วัน นับตั้งแต่ปลูกไปจนเปลี่ยนรุ่นใหม่
เกริ่นนำมาอย่างนี้ หลายคนคงสนใจปลูกแตงกวา แล้วอยากรู้แล้วใช่ไหมว่าทำอย่างไรถึงมีกำไรมากขนาดนั้น วันนี้เราจะพาไปพูดคุยกับเกษตรกรคนเก่งเจ้าของไร่แตงกวา คือ คุณศุภโชค หินเบี้ย บ้านเลขที่ 79 หมู่ 6 บ้านเนินสะแก ตำบลวังท่าดี อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ โทร. 08-5535-3923 เกษตรกรที่มีเคล็ดลับเรื่องการปลูกและดูแลแตงกวาที่ได้ผลดีเยี่ยมแถมช่วยลดต้นทุนการผลผลิตได้มากถึง 20,000 กว่าต่อรอบการผลิต
คุณศุภโชค เล่าว่า สมัยก่อนเคยปลูกข้าวโพดและทำนาเป็นอาชีพหลัก ส่วนไร่แตงกวาเพิ่งจะมาเริ่มต้นลงมือ ทำเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะเห็นว่าแตงกวามีราคาดี ซึ่งในอดีตที่ดินทำกินของคุณศุภโชคประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพราะยังไม่มีการก่อสร้างอ่างกักเก็บน้ำคลองลำกง แม้จะใช้ที่ดินเพราะปลูกพืชแค่ 1 ไร่ น้ำก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว แต่หลังจากอ่างเก็บเขื่อนลำกงโครงการพราชดำริเปิดใช้งานได้ ก็มีปริมาณน้ำมากสำหรับใช้เพาะปลูกในพื้นที่ 20-30 ไร่ ได้อย่างสบายโดยทั่วไปเกษตรกร 1 คน สามารถปลูกและดูแลเก็บแตงกวาได้ไม่เกิน 1 ไร่ ก็มีรายได้พอกินแล้ว แต่ทุกวันนี้ คุณศุภโชคมีที่ดินสำหรับเพาะปลูกทำไร่แตงกวาจำนวน 8 ไร่ จัดว่ามากโขอยู่เพราะการปลูกแตงกวาต้องใช้แรงงานจำนวนมากในการเก็บผลผลิตแต่ละวัน
สาเหตุที่คุณศุภโชคปลูกแตงกวามากถึง 8 ไร่ เพราะช่วงนี้แตงกวาขายได้ราคาดี จึงขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น ในช่วงเก็บผลผลิตก็จะจ้างแรงงานในท้องถิ่นเข้ามาช่วยเก็บผลแตงกวา ในช่วงที่แตงกวาขายได้ราคาดี แม่ค้าจะรับซื้อผลผลิตในราคา กก. ละ 18 บาท แต่ละวันคุณศุภโชคจะเก็บผลผลิตออกขายได้มากถึงวันละ 2-3 ตัน โกยรายได้ถึงวันละ 30,000-40,000 บาทเลยทีเดียว
ผลผลิตมากน้อยขึ้นอยู่กับเทคนิคการดูแลเป็นหลัก
คุณศุภโชค บอกว่า การปลูกแตงกวาจะใช้ระยะห่างระหว่างต้น 20 ซม. หากมีพื้นที่ปลูกมาก ควรใช้ระยะห่างระหว่างแถว 1.20 เมตร หากมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ปลูก ควรกำหนดระยะห่างระหว่างแถว 1 เมตร แม้เวลาเก็บผลผลิตจะเข้าไปเก็บลำบากหน่อยเพราะทางมันแคบถ้ามองดูแล้วมันจะแน่นเกินไป ปัจจุบันแตงกวาที่เกษตรกรนิยมปลูกมีหลากหลายสายพันธุ์ คุณศุภโชค เลือกใช้แตงกวาสายพันธุ์ จอมขวัญ โดยซื้อเมล็ดพันธุ์ในราคากระป๋องละ 600 บาท พื้นที่ปลูก 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์แตงกวา 3 กระป๋อง หากปลูก 8 ไร่ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์แตงกวา 24 กระป๋อง ส่วนตาข่ายที่ใช้ขึงเป็นราวให้แตงกวาเลื้อยขึ้น อัตราการใช้ไร่ละ 80 เมตร และใช้ไม้ไผ่เป็นไม้หลักโดยเฉลี่ยไร่ละ 20 ลำ ส่วนพลาสติก ที่ใช้คลุมดินอยู่นั้น คุณศุภโชคมองว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น และไม่ต้องการใช้เพื่อประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย
ไร่แห่งนี้นิยมใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณที่เหมาะสมควบคู่กับปุ๋ยน้ำหมักอินทรีย์ชีวภาพที่ผลิตขึ้นเอง เพราะช่วยลดต้นทุนการผลิต ปุ๋ยเคมีใช้คือสูตร 15-15-15 ใช้พียง 3 ลูกเท่านั้น ราคาลูกละ 1,000 บาท นอกนั้นจะใช้น้ำหมักชีวภาพผสมไปในท่อน้ำหยดฉีดพ่นทุกวัน ส่วนวิธีการทำน้ำหมักธรรมชาตินั้น จะใช้วัตถุดิบจากเศษปลาและเศษผลไม้ เช่น กล้วย ฟักทอง มะละกอ มะม่วง หรือผลไม้อะไรก็ได้เท่าที่หาได้ในท้องถิ่น
สูตรการหมักปุ๋ยอินทรีย์แบบง่าย
คุณศุภโชค บอกว่า ผลิตปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพสูตร 3-1-10 คือ ถ้าเป็นปุ๋ยปลาหมักหรือเศษปลาหมักใช้ 3 กิโลกรัม ตามด้วยน้ำตาล 1 กิโลกรัม และน้ำ 1 ลิตร สูตรการหมักผลไม้นานาชนิดก็เช่นกันใช้สูตรเดิม 3-1-10 ส่วนการหมักใช้ระยะเวลา 1 เดือน ก็สามารถที่จะใช้งานได้เลย วิธีนี้จะช่วยประหยัดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยลง ช่วยประหยัดเงินค่าปุ๋ยไปได้มากถึง 21 ลูก คิดเป็นต้นทุนค่าปุ๋ยประมาณ 20,000 กว่าบาท ส่วนแตงกวาจะมีผลผลิตมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลาสติกที่คลุมดิน หากคุมดินมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นจุดอ่อนทำให้เกิดปัญหาการระบาดของเชื้อโรคจากดินเพิ่มสูงขึ้น เพราะดินไม่ได้โดนแสงแดดเลย ควรใช้พลาสติกคลุมดิน เพื่อป้องกันไม่ให้หญ้าขึ้นเท่านั้น
การปลูกเตงกวาได้ผลผลิต 3 รุ่น
คุณศุภโชค กล่าวว่า การปลูกแตงกวามีผลผลิต 3 รุ่น ชุดแรกผลผลิตไม่ดกมากเรียกว่า แตงตีนต้น แตงกวาชุดที่ 2 จะให้ผลผลิตที่ดกมาก ส่วนแตงกวารุ่นที่ 3 เรียกว่าแตงตีนปลาย ผลผลิตจะไม่ค่อยมากแล้วราคาแตงกวารุ่นแรกมักขายได้ กก. ละ 18 บาท ส่วนผลผลิตรุ่นที่ 2 จะได้ผลผลิตสูงที่สุด ผลแตงกวาชุดแรกที่เก็บ ผลผลิตจะได้น้อยในช่วงแรก 3 วันแรกที่ผลผลิตออกมาใหม่ๆ หลังจากนั้นผลผลิตก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนราคาแตงกวาดีที่สุดคือประมาณเดือนมีนาคมถึงเมษายน แต่ก็เป็นช่วงที่เกิดปัญหาโรคและแมลงรบกวนมากที่สุดเช่นกัน โดยเฉพาะแมลงหวี่ขาว ซึ่งเป็นแมลงที่หากินอยู่ในท้องนา พอเข้าเดือนมีนาคม หมดฤดูทำนา แมลงหวี่ขาวก็จะหันโจมตีแปลงปลูกแตงกวาแทน ปัญหาแมลงหวี่ขาวสามารถแก้ไขได้โดยใช้ยาอะบาแม็คตินฉีดพ่นในช่วงเย็น ระหว่างเวลา 17.00-19.00 น. เพราะแมลงหวี่ขาวจะออกมาหากินในระยะเวลานี้ ถ้าฉีดยาตรงเวลาที่แมลงหวี่ขาวออกมารบกวน ก็จะได้ผลผลิตที่ดี แตงกวาก็จะไม่เสียหายง่าย
หมดกังวลเรื่องการหาตลาด
คุณศุภโชค บอกว่า ทุกวันนี้เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต จะมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อสินค้าถึงในสวน จากนั้นก็จะนำผลผลิตที่ได้ทั้งหมดไปขายต่อที่ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดราชบุรี และที่ตลาดไท ในราคาที่บอกเพิ่มค่าขนส่ง โดยราคาที่พ่อค้ารับซื้อจากสวนก็เป็นราคาที่เกษตรกรยิ้มได้ เพราะพ่อค้าให้ราคาสูงพอที่จะมีเงินเข้ากระเป๋าตุงเลยทีเดียว คุ้มค่ากับต้นทุนแรงงาน และผลตอบแทนที่ได้รับ
คุณศุภโชคกล่าวทิ้งท้ายว่า การทำงานทุกอย่าง เราต้องทำงานในเชิงรุก คือ เราต้องวิ่งไปหางานอย่าให้งานต้องวิ่งมาหาเรา เป็นเกษตรกรก็ต้องคอยศึกษาพืชผักที่เราปลูกดูทิศทางความต้องการของตลาดด้วยว่าต้องการสินค้าชนิดนี้ ในช่วงฤดูใด หากใครมีปัญหาข้อสงสัย สามารถโทรศัพท์สอบถามข้อมูลจากคุณศุภโชคได้โดยตรงตามที่อยู่ข้างต้น คุณศุภโชคยินดีให้คำแนะนำ ด้วยความเต็มใจ
ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.vigotech.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539825644&Ntype=8
ขอบคุณรูปภาพ : http://www.technologychaoban.com/news_detail.php?tnid=1914