เทคนิคการผลิตมะม่วงนอกฤดู ที่วังทับไทร แหล่งปลูกมะม่วงบนดินลูกรัง ไม่มีแหล่งน้ำ แต่พลิกชีวิตชาวไร่…สู่เศรษฐีหลักสิบล้านทั้งหมู่บ้าน
11Aug,16
หากมีโอกาสมาเยือน อ.วังทับไทร คุณจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงเป็นแหล่งปลูกมะม่วงแหล่งใหญ่ของภาคเหนือ เพราะตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยล้งรับซื้อมะม่วงทั้งรายเล็ก รายใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดเส้นทางเพื่อรับซื้อผลผลิตมะม่วงของชาวสวน ซึ่งไม่เพียงในพื้นที่วังทับไทรเท่านั้น ที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมการซื้อขายมะม่วงจากพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย โดยเฉพาะพิษณุโลก เพชรบุรณ์ พิจิตรซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะม่วงแหล่งใหญ่เช่นกัน แต่ผลผลิตส่วนใหญ่จะนำมาขายที่นี่ และเมื่อเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน บ้านหลังใหญ่ๆ แทบทุกหลังราคาหลักล้านทั้งนั้น คงไม่ต้องบอกว่าชาวบ้านเหล่านี้มีฐานะความเป็นอยู่ดีขนาดไหน จนทำให้แทบจะนึกภาพในอดีตของที่นี่ไม่ออกเลยว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว(ไม่นานเลย) ชาวบ้านที่นี่จะมีอาชีพปลูกพืชไร่ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างจากชาวบ้านในพื้นที่อื่นๆ เพราะด้วยสภาพพื้นที่ของดินลูกรัง แห้งแล้ง ไม่มีระบบชลประทานพืชไร่คือทางเลือกที่ดี แต่วันนี้วังทับไทรกลายเป็นแหล่งปลูกมะม่วงใหญ่สุดของภาคเหนือและเป็นศูนย์กลางการซื้อขายมะม่วงทั้งส่งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
มะม่วงวังทับไทร พื้นที่หมื่นกว่าไร่ 70% ส่งออกตลาดต่างประเทศ
นายสายัณห์ บุญยิ่ง แกนนำของกลุ่ม บอกว่า มะม่วงเป็นพืชที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพื้นที่วังทับไทร เนื่องจากมะม่วงเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย สามารถเติบโตได้ในดินลูกรัง ระบบการปลูกมะม่วงที่นี่จะไม่มีระบบน้ำ การปลูกจะมีการให้น้ำเพียงช่วง 2-3 ปีแรกเท่านั้น โดยชาวบ้านจะนิยมปลูกช่วงฝนและให้น้ำช่วงแล้งประมาณเดือน ธ.ค.-มี.ค. พอเดือน เม.ย.ที่นี่ก็เริ่มจะมีฝนแล้ว หลังจากนั้นมะม่วงก็จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้วโดยไม่ต้องพึ่งระบบน้ำ
พื้นที่ปลูกมะม่วงของชาวสวนส่วนใหญ่ (60-70%) อยู่ที่ 20-50 ไร่ ชาวสวนรายใหญ่ที่มีพื้นที่ปลูกระดับ 100 ไร่ ขึ้นไปมีอยู่ประมาณ 5-10% สำหรับสมาชิกของกลุ่มจะมีประมาณ 80 คน โดยมีพื้นที่ปลูกมะม่วงของสมาชิกกว่าหมื่นไร่ ขณะที่มะม่วงใน 3 จังหวัดที่เป็นแหล่งใหญ่ คือพิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์รวมแล้วนับแสนไร่เลยทีเดียว มะม่วงที่ปลูกกว่า 60%เป็นน้ำดอกไม้สีทองกับน้ำดอกไม้เบอร์ 4 รองลงมาเป็นฟ้าลั่น โชคอนันต์ อีก 5%เป็นมะม่วงพันธุ์อื่นๆ เช่น มหาชนก
การผลิตมะม่วงของวังทับไทรจะเน้นผลผลิตที่มีคุณภาพเพื่อป้อนตลาดส่งออก โดย 70% ของผลผลิตจะป้อนตลาดต่างประเทศ โดยพันธุ์ฟ้าลั่น น้ำดอกไม้จะส่งไปยังตลาดมาเลย์ เวียดนาม สิงคโปร์ ส่วนที่ป้อนตลาดญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นตลาดเกรดบนยังปีปริมาณไม่มาก ประมาณ 300 ตัน/ปี เป็นมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองกับเบอร์ 4 ส่งไปยังญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรปผ่านบริษัทส่งออกที่เข้ามารับซื้ออยู่หลายบริษัท เช่น สยามเอ็กซ์ ปอร์ต มาร์ท ,สวิฟท์,ซีพี,ไชน์ไฟร์ท สยามธานียามา เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งประมาณ 100-200 ตัน/ปี จะส่งเข้าโรงงานแปรรูปของปริ้นเซส และทิมฟูดส์เป็นมะม่วงมหาชนกและน้ำดอกไม้ โดยบริษัทส่งออกต่างๆเหล่านี้จะเข้ามาตั้งจุดรับซื้อในพื้นที่
เทคนิคการผลิตมะม่วงนอกฤดูคุณภาพส่งออก
คุณสายัณห์นั้น ทำสวนมา 20 กว่าปีแล้ว โดยเริ่มจาก 10 กว่าไร่ เริ่มขยายพื้นที่มากๆในปี 30-33 ปัจจุบันมีพื้นที่ 300 ไร่ ให้ผลผลิตแล้ว 200 ไร่ อีก 200 ไร่ยังไม่ให้ผลผลิต การผลิตจะแบ่งล็อคในการทำให้มะม่วงเก็บไม่พร้อมกัน จริงๆรายละเอียดในการผลิตมีเยอะ แต่ขอแบบคร่าวๆ ส่วนใครที่ต้องการแบบละเอียด สามารถสอบถามคุณสายัณห์ได้ การผลิตมะม่วงเริ่มจาก หลังจากเก็บมะม่วงในฤดูเสร็จเดือนเมษายนจะตัดแต่งกิ่ง เตรียมต้น เตรียมใบ โดยฉีดสะสมอาหารด้วยปุ๋ยทางใบ 0-52-34 +ซุปเปอร์ เค ประมาณ 3-4 ครั้ง ส่วนทางดินใส่ 8-24-24 ช่วงหลังราดสารประมาณปลายเดือน ก.ค.-ต้น ส.ค. เพียงครั้งเดียว อัตรา 1 กก./ต้น(ต้น 20 ปี) เพื่อให้มะม่วงออกดอกสม่ำเสมอ ออกช่อพร้อมกัน พอช่วง ก.ย.ถ้าใบแก่ ใบพร้อม สภาพอากาศพร้อมหมายความว่าไม่มีฝนชุก ก็จะเปิดตาดอก โดยใช้ไทโอยูเรีย 2 กก. โปแตสเซียมไนเตรท 13-0-46 อัตรา 12.5 กก.พ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 5 วัน ถ้าเตรียมต้นมาดี ใบพร้อม ก็จะได้ดอก 70-80% ถ้าโชคไม่ดีเจอฝน ดอกออกไม่เยอะก็ต้องสะสมใหม่ รอเปิดตาดอกอีกครั้ง 20 วันหลังจากนี้ จากนั้นก็ปล่อยให้มะม่วงเติบโตไปตามแกติ ขนาดผลเท่าไข่เป็ดหรือประมาณ 45 วัน จะห่อผลด้วยถุงห่อคาร์บอน มะม่วงรุ่นแรกนี้จะสามารถเก็บได้ในช่วงปลาย ธ.ค.- ต้นเดือน ม.ค. จากนั้นมะม่วงจะกระทบนาวและออกดอกมาตามธรรมชาติ แทบไม่ต้องดูแลอะไรก็มีมะม่วงให้ได้เก็บอีกรุ่นในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นรุ่นในฤดู เท่ากับว่าปีหนึ่งจะได้เก็บมะม่วง 2 รุ่น
นอกจากจะไม่ให้ปุ๋ยทางใบและโครตธาตุอาหารอย่างดุเดือดเหมือนการผลิตมะม่วงในเขตอื่นแล้ว สำหรับการจัดการกับโรค-แมลงนั้นที่นี่ก็จะไม่ฉีดยาดุเดือดเหมือนที่อื่นด้วย โดยการพ่นสารเคมีจะพ่นแค่ช่วงดอกถึงติดผลอ่อน ใช้เวลาประมาณ 1.5 เดือน ซึ่งช่วงนี้ฝนที่นี่ค่อนข้างชุก ถ้าฝนตกวันไหนต้องพ่นยาทันที บางครั้งพ่นกันทุกวัน ยาเชื้อราจะใช้โพรคลอราซ อมิสตา แอนทราโคล ส่วนยาฆ่าแมลงใช้เมโทมิล แลมป์ด้า ไซฮาโลทรินฆ่าหนอน ส่วนแมลงปีกแข็งใช้คาร์บาริล แลมป์ด้า ไซฮาโลทริน
รายได้และต้นทุนการผลิต
ต้นทุนการผลิตมะม่วงที่นี่คุณสายัณห์บอกว่าอยู่ที่ประมาณไร่ละ 1.3-1.5 หมื่นบาท ส่วนมะม่วงที่ไม่ห่อผลจะอยู่ที่ 5,000-7,000 บาท แต่มะม่วงส่งออกจะต้องห่อผลทั้งหมด สำหรับผลผลิตมะม่วงต่อไร่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ ไร่ละ 1 ตัน (จากมะม่วง 2 รุ่น) อย่างที่สวน 200 ไร่ ผลผลิตต่อปีก็อยู่ที่ 200 กว่าตัน โดยผลผลิต 50% ส่งญี่ปุ่น อีก 50% ขายในบ้านเรา ส่วนรายได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าส่งตลาดที่ไหน ส่งออกหรือขายในบ้านเรา ราคามะม่วงช่วงนั้นเท่าไหร่ ถ้ามะม่วงราคา 15-30 บาท/กก. ก็จะมีรายได้ 2-3 หมื่นบาทต่อไร่ ถ้ามะม่วงราคา 50-60 บาท/กก. ก็จะมีรายได้ 5-6 หมื่นบาทต่อไร่ ก็ลองคิดดูว่าพื้นที่มะม่วง 200 ไร่ของคุณสายัณห์จะทำรายได้ขนาดไหน และพื้นที่ปลูกมะม่วงนับ 10,000 ไร่ของวังทับไทร จะทำเงินสะพัดในชุมชนขนาดไหน อยากเห็นภาพก็ลองแวะไปเยี่ยมดูการปลูกมะม่วงที่นี่กัน กำลังคึกคักกับผลผลิตมะม่วงที่ออกสู่ตลาดในช่วงสูงสุดเลยทีเดียว เชื่อแน่ว่ามันจะทำให้คุณอยากเปลี่ยนมาเป็นชาวสวนมะม่วงหรือไม่ก็ไปปักหลักหาซื้อที่ทำสวนมะม่วงที่นั่นสักแปลงกันเลยทีเดียว
ใครอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ คุณสายัณห์ บุญยิ่ง 77 ม.1 ต.วังทับไทร อ.สากเหล็ก จ.พิจิตร โทร.081-8871964
ติดตามความรู้ด้านการเกษตรดีๆได้ที่ กลุ่มเกษตรก้าวใหม่ cr.Rakkaset Nungruethail
แหล่งที่มา : http://www.vigotech.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539804319&Ntype=8