Auto Draft

ปลูกต้นคูนไว้กินและขาย

Sorry, this entry is only available in Thai. For the sake of viewer convenience, the content is shown below in the alternative language. You may click the link to switch the active language.

ต้นคูนพื้นที่อีสานบางแห่งเรียกว่า ทูน ส่วนภาคเหนือเรียกว่า ตูน ส่วนทางภาคใต้ จะเรียกว่า ต้นอ้อดิบ เป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายกับต้นบอน บางพื้นที่นิยมนำมาบริโภคเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก ส้มตำ ลาบ และยำ

ต้นคูนพื้นที่อีสานบางแห่งเรียกว่า ทูน ส่วนภาคเหนือเรียกว่า ตูน ส่วนทางภาคใต้ จะเรียกว่า ต้นอ้อดิบ เป็นพืชที่มีลักษณะคล้ายกับต้นบอน ก้านใบและแผ่นใบจะสีเขียวอ่อน มีนวล ผู้คนบางพื้นที่นิยมนำมาบริโภคเป็นผักแกล้มกับน้ำพริก ส้มตำ ลาบ และยำ

ก้านใบปอกเปลือก รับประทานเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก แกงกะทิ ใบอ่อนและก้านใบ นำไปแกงส้มใส่ปลา และปรุงเป็นผักในแกงแค เป็นอาหารที่ทำกินกันในจังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช เป็นอาหารที่มีราคาถูก ทำง่าย กินกับข้าวสวย ทั้ง 3 มื้อ หรือเป็นกับแกล้ม ปัจจุบันยังมีที่ทำกินอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังใช้ทำอาหารได้อีกหลายอย่างด้วยการลอกเปลือกบริเวณผิวออก แล้วกินดิบ ที่สำคัญหลังลอกผิวนอกออกแล้วควรล้างด้วยน้ำส้มสายชู เพื่อให้หมดเมือกคัน จากนั้นปล่อยให้สะเด็ดน้ำก่อนเอามาผัดกับหมูหรือกุ้ง เหมือนผักทั่ว ไป บางพื้นที่ก็นิยมนำมาทำแกงเลียง ใส่ ปลาย่าง และกุ้งแห้ง หรือกุ้งสด หรือแกงจืด ใส่กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้ง เป็นต้น

ส่วนทางภาคใต้บางพื้นที่นิยมนำมาใส่แกงส้มและรับประทานเป็นผักสด เป็นผักชนิดหนึ่งที่ประชาชนนิยมปลูกไว้ริมรั้ว หรือข้างบ้าน เป็นพืชที่ชอบขึ้นบริเวณที่มีน้ำแฉะ 

ในการนำมาปลูกปัจจุบันมีเกษตรกรนิยมนำมาแซมยางพารา หรือไม้ยืนต้นประเภทให้ผลทั่วไป สร้างรายได้เสริมได้ตลอดทั้งปี 

การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ไม่มีโรคแมลงรบกวน ในระหว่างการปลูก การปลูกที่เหมาะสมควรปลูกเป็นแถวเว้นช่องว่างระหว่างแถวประมาณ 5 ศอก แต่ละกอห่าง 50 x 50 เซนติเมตร ขุดหลุมลึกประมาณ 15 เซนติเมตร นำหน่อพันธุ์ ลงหลุม หลุมละ 1 ต้น ติดสปริงเกลอร์ ปล่อยน้ำ ในช่วงแรกหลังปลูกวันละครั้ง เมื่อหน่อพันธุ์ตั้งตัวได้แล้ว สามารถทิ้งระยะห่างในการรดน้ำได้ 2-3 วันต่อครั้ง 

จากนั้นประมาณ 15 วัน ให้ปุ๋ยคอกประเภทมูลโคโดยนำไปโปรยรอบๆ กอคูน เว้นระยะประมาณ 15 วัน ใส่อีกครั้งในปริมาณเท่าเดิม ส่วนช่วงหน้าฝนไม่ต้องใส่เพราะต้นคูนจะเจริญเติบโตดีในช่วงนี้ด้วยมีน้ำอย่างต่อเนื่องและเพียงพอ 

ประมาณ 3 เดือนหลังการปลูกก็สามารถตัดก้านที่รอบนอกมาบริโภคหรือจำหน่ายในตลาดทั่วไปได้ ซึ่งแต่ละกอหลังตัดควรเหลือก้านไว้ประมาณ 4-5 ก้าน และอีก 7 วัน ก็จะมีก้านคูนงอกออกมาทดแทน ราคาจำหน่ายในปัจจุบันบางพื้นที่จะอยู่ที่ประมาณ 7-10 บาทต่อกิโลกรัม 

สำหรับการปลูกในรุ่นต่อๆ ไปนั้นเกษตรกรสามารถผลิตหน่อพันธุ์ได้ด้วยตนเอง อันจะเป็นการประหยัดต้นทุนในการเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี ด้วยการนำส่วนหัวของต้นคูนมาผ่า แล้ววางไว้บริเวณพื้นดินที่ที่มีความชื้นคลุมด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง หรือใบไม้แห้งก็ได้ 

ไม่นานต้นคูนก็จะเกิดหน่อใหม่ขึ้นมา ก็สามารถนำหน่อใหม่นี้ไปปลูกในแปลงปลูกที่เตรียมไว้ได้ต่อไป

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/agriculture/610178
[fbcomments url="https://parichfertilizer.com/en/knowledge/%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%84%e0%b8%b9%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%a2/" width="375" count="off" num="3" title="Comments" countmsg="wonderful comments!"]

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save