Auto Draft

ปลูกมะเขือม่วง ให้ออกผลตลอดปี

มะเขือม่วงเป็นพืชดั้งเดิมของประเทศอินเดีย ปลูกง่าย การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ให้ผลผลิตได้ระยะนาน โรคและแมลงศัตรูเข้าทำลายน้อย และทนแล้งสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

มะเขือม่วงเป็นพืชดั้งเดิมของประเทศอินเดีย ปลูกง่าย การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ให้ผลผลิตได้ระยะนาน โรคและแมลงศัตรูเข้าทำลายน้อย และทนแล้งสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี พื้นที่เหมาะสมต่อการปลูกอยู่ในระดับ 500-800 เมตร จากระดับน้ำทะเล การปลูกมะเขือม่วงควรใช้วิธีการเพาะกล้าก่อนย้ายลงปลูกในแปลงจะดีที่สุดเพราะการเพาะกล้า จะได้ต้นมะเขือม่วงที่แข็งแรงและสมบูรณ์ การเพาะต้นกล้าเริ่มจากเตรียมดินในกระบะเพาะหรือในถุงพลาสติกก็ได้โดยดินที่เหมาะสมควรเป็นดินทรายผสมขุยมะพร้าว จากนั้นหยอดเมล็ดลงในหลุมเพาะถุงเพาะ ถุงหรือหลุมละ 3-5 เมล็ด ถ้าเพาะในกระบะเพาะ ควรเว้นระยะระหว่างต้น 5 เซนติเมตร ระหว่างแถว 10 เซนติเมตร เมื่อเมล็ดงอกแล้วมีใบจริง 2-3 ใบ ให้ถอนแยกเหลือต้นกล้าที่ดูว่าแข็งแรงสมบูรณ์ไว้ 2 ต้น เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 5-6 ใบ หรือหลังเพาะกล้าประมาณ 30 วัน ให้ย้ายกล้าลงแปลงปลูกได้เลย

สำหรับแปลงปลูกให้ขุดหน้าดินหรือเตรียมดินที่ต้องการมาก่อนในปริมาณที่พอเหมาะ และตากดินไว้ประมาณ 10 วันเพื่อกำจัดเชื้อโรค จุลินทรีย์และแบคทีเรียที่อยู่ในดินก่อน หลังจากตากดินแล้ว หากทำเป็นร่องก็เริ่มยกร่องได้ หากปลูกในกระถางก็นำดินลงกระถางได้เลย โดยรองก้นกระถางด้วยแกลบหรือกาบมะพร้าวเสียก่อน

ตามด้วยการผสมปุ๋ยมูลไก่กับดินปลูกที่เตรียมไว้ คลุกเคล้าให้เข้ากันใส่ลงกระถางเลย หรือยกเป็นแปลงก็ควรจะสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร หลังจากเตรียมพื้นที่ปลูกแล้วก็นำกระบะเพาะกล้าที่มีกล้ามะเขือม่วง อายุประมาณ 35-40 วันลงปลูก แล้วรดน้ำให้ชุ่มทันที

อาทิตย์แรกหลังการปลูกกรณีปลูก ในกระถางควรวางกระถางมะเขือม่วงในที่ร่ม มีแสงแดดอ่อน ก่อน จากนั้นเมื่อต้นแข็งแรงแล้วนำไปไว้กลางแดดได้ ส่วนการยกร่องทำแปลงปลูกนั้น ควรเตรียมระบบน้ำ และรดน้ำให้ชุ่มพร้อมคลุมแปลงปลูกให้ดี

โดยก่อนคลุมแปลงต้องวางระบบน้ำให้อยู่กึ่งกลางแปลงที่ยกไว้ กรณีใช้ระบบน้ำหยด นำผ้าพลาสติกมาคลุมแปลงให้รูที่จะปลูกอยู่กึ่งกลางแปลงพอดีโดยเอาด้านสีดำไว้ด้านล่าง สีเงินไว้ด้านบน แล้วกลบดินด้านข้างแปลงทั้งสองข้างให้มิด เพื่อกันน้ำและปุ๋ยอินทรีย์ ไหลออก เมื่อคลุมแปลงทั้งหมดแล้วก็ปล่อยน้ำเข้าให้ชุ่มแบบต่อเนื่องประมาณ 2 วัน แล้วจึงนำต้นกล้ามาปลูก

การปลูกควรเป็นช่วงเย็นหรือช่วงแดดอ่อน ปลูกเสร็จให้ น้ำทันที เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 1.5-2.0 ฟุต

การบำรุง ดูแลรักษา ควรใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก อัตรา 50 กรัม ต่อต้น โดยผสมคลุกเคล้ากับดินใช้รองก้นหลุม หรือก้นกระถาง ส่วนการให้น้ำ ควรให้สม่ำเสมอแต่ไม่เปียกหรือแฉะเกินไป ประมาณ 50-60 วันหลังปลูก ก็จะมีผลผลิตออกมาให้ได้เก็บบริโภคและขายได้ และจะให้ผลผลิตตลอดทั้งปี เพียงแต่ผู้ปลูกคอยให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและใส่ปุ๋ยอินทรีย์ประเภทมูลไก่ทุก 1 เดือนบริเวณโดยรอบของโคนต้น มะเขือม่วงนับเป็นผักเพื่อสุขภาพอีกชนิดหนึ่งที่ผู้บริโภคนิยม ในขณะเดียวกันก็ได้รับการจัดให้เป็นพืชสมุนไพรอีกด้วย โดยคนไทยในหลายพื้นที่เมื่ออดีต จะนำลำต้นและรากนำมาต้มน้ำกินเพื่อแก้โรคบิด หรือคั้นเอาน้ำมาล้างแผลเท้าเปื่อย ใบแห้งจะนำมาป่นเป็นผง ใช้เป็นยาแก้โรคบิด ปัสสาวะขัด ดอกสดหรือแห้งนำมาเผาให้เป็นเถ้า แล้วบดละเอียด ใช้แก้ปวดฟัน ส่วนผลแห้งทำเป็นยาเม็ด ใช้แก้ปวด แก้ตกเลือดในสำไส้ ขับเสมหะ

ขณะที่ผลสดจะใช้พอกบริเวณที่เป็นแผลอักเสบ ฝีหนอง หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นผดผื่นคันเป็นต้น

ที่มา: https://www.dailynews.co.th/agriculture/608813
[fbcomments url="https://parichfertilizer.com/knowledge/%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%87-%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%9c%e0%b8%a5/" width="375" count="off" num="3" title="แสดงความคิดเห็น" countmsg="wonderful comments!"]

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save